ประวัติชาจีน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0uQV8dv_DydgJUz4Ea01hjFGMwIcVaurJAmhdboZtzlxBK72vxsCcSicgnoWKjSmcm798r9TEwLdPVYHt7pd5IJ8TiXVUMyNQSyrGcmFKluNBXflDS_trP_qhvzpb7YZUUzxxHK3IcJk/s320/images.jpeg)
ประวัติชาอู่หลง
ชามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ถ้านับย้อนหลังไปก็รวมระยะเวลา ได้กว่า 4,000 ปี กล่าวคือ เมื่อ 2737 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกพบโดยจรรดิพรรดิ นามว่า เสินหนง ซึ่งเป็นบัณฑิต และนักสมุนไพร เป็นคนรักความสะอาดมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่เสินหนง กำลังพักผ่อนอยู่ที่ใต้ต้นชา และกำลังต้มน้ำดื่มอยู่นั้น ปรากฏว่าได้มีลมโบกกิ่งไม้เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่ม ก็เกิดความรู้สึกกระปรี่กระเปร่าขึ้น พอมาในช่วงศตวรรษที่ 3 ชาวบ้านได้รู้ถึงสรรพคุณด้านเป็นยา ในสมัยนั้น จะดื่มชาเป็นยา เป็นเครื่อง บำรุงกำลัง พอชาได้รับความนิยมมากขึ้น ชาวบ้านก็เริ่มหันมาปลูกชาและพัฒนาขั้นตอนการผลิตมาเรื่อยๆ ในช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5 ความนิยมใบชาในประเทศจีนเพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการปลูกชาตามแนวเทือกเขา บริเวณหุบเขาปม่น้ำแยงซีเกียง ชาจะผลิตในรูปของการอัดแผ่น คือ การนำใบชามานึ่งก่อน และะจากนั้นก็นำมากระ แทก จากนั้นนำไปผสมกับลูกพลัม ลักษณะที่ได้จะข้นๆเหนียวๆ จากนั้นนำไปเทลงบนแม่พิมพ์ และนำไปอบให้แห้ง ได้ชาออกมาเป็นแผ่น เมื่อนำมาเตรียมเป็นน้ำชา จะนำไปผิงไฟให้มันอ่อนตัว จนสามารถที่จะบดเป็นผงได้ จากนั้นก็นำไปผสมน้ำต้ม สมัยนั้น เริ่มมีการนำชาไปถวายเป็นของขวัญแด่ จักรพรรดิจีนสมัยราชววศ์ถัง ถือเป็นยุดทองของชา(ค.ศ.618 - ค.ศ. 906) ชาไม่ได้ดื่มเพื่อเป็นยาบำรุงกำลังเพียงอย่างเดียว แต่มีการดื่มเป็นประจำทุกวัน เป็นเครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพ ในสมัยนี้ขายังเป็นรูปแบบของการอัดเป็นแผ่นอยู่ แต่ในขั้นตอนการเตรียมชา ได้มีการเติมเกลือลงไป เพื่อให้ชามีรสชาติเข้มข้นขึ้น และมีการเต่งรสอื่นๆซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นเครื่องเทศ เช่น หัวหอมหวาน ขิง เปลือกส้ม กานพลู และสารแหน่ สมัยราชวงศ์ซ้อง(ค.ศ. 960 - ค.ศ.1279) ชาได้เติมเครื่องเทศแบบในสมัยถัง แต่จะเพิ่ม รสบางๆ เช่น น้ำมันจากดอกมะลิ ดอกบัว และดอกเบญจมาศ มาถึงราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1368 - 1644) ชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว สมัยนั้นกระบวนการผลิตชาได้พัฒนาขึ้นไปอีก ไม่อัดเป็นแผ่น แต่มีการรวมรวบใบชา นำมานึ่งและอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรป แรกเริ่มเป็นชาเขียว เมื่อการค้าพัฒนาขึ้น อย่างต่อเนื่อง ก็มีการพัฒนาการบวนการผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพของใบชาให้นานขึ้น โดนได้คิดค้นกระบวนการที่เรียกว่าการหมัก เมื่อหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็น ที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีนมีการแต่งกลิ่นด้วย โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้ สมัยนั้นตลาดยุโรปต้องการมาก
ประวัติการปลูกชาในประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2525 กองบริการอุตสาหกรรมภาคเหนือ กรวส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนยเพิ่มผูล์ผลผลิตแห่งเอเชียได้จัดทุนดูงานด้านอุตสาหกรรมชา และผู้ ประ กอบการ ใบ ชาจำนวน 12 คน ณ. ประเทศไต้หวัน และศรีลังกา เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ต่อมาเดื่อนตุลาคม 2526 ศูนย์เพิ่มพูลผลผลิตแห่งเอเชีย ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้าน ชาจีนมาจากประเทศไต้หวัน 2 คน คือ นายซูหยิง เลียน และนายจางเหลียนฟู มาให้คำแนะนำทางด้นการทำสวนชาและเทคนิคการผลิตชาจีน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ในเดือนมิถุนายน 2527 ศูนย์เพิ่มพูลผลผลิตแห่งเอเชีย ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญสวนชาฝรั่ง มาจากประเทศศีรีลังกา คือ นายเจซี รามานา เคน มาให้คำแนะนำและสาธิต การผลิตชา เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ต่อมาในปี 2530 กรมวิชาการเกษตรได้ขอผู้เชี่ยวชาญจาก F.A.O. มาสำรววจศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตอุตสาหกรรมชา ซึ่ง ทาง F.A.o. ได้ส่ง Dr.A.k.Arich ผู้เชี่ยวชาญจากฝรั่ง เข้ามาศึกษาเป็นเวลา 1 เดือน และส่งนักวิชาการของกรมการเกษตรไปดูงานด้านการปลูก และการผลิตชาฝรั่ง ที่ประเทศอินเดีย การวิจัยในส่วนทีเกี่ยวข้องกับการปลูกและผลิตชา นอกจากกรมวิชาการเกษตร รับผิดชอบโดยตรงแล้ว ในส่วนของทบวงมหาวิทยาลัย ในปี 2520 งานเกษตรที่สูง ม.เกษตรศาตร์โดยอาจารย์ปวิณ ปณศรี ได้ขอผู่เชี่ยวชาญจากสถานีทดลองชาไต้หวัน เข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมชาใน ประเทศไทย เป็นเวลา 3 เดือน ในคณะเดียวกัน ทาง ม.เชียงใหม่ ก็ได้เริ่มงานสรีรวิทยาของชา ต่อมาในปี 2530 สาขาไม้ผลของสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ได้รับงบสนับสนุนจากงบประมาณวิจัยโครงการหลวง ได้เริ่มวิจัยและพัฒนาชาขึ้น วัตถุประสงค์หลักเพื่อทำการคัดเลือก ปรับปรุงพันธ์ชาจีน ศึกษาวิธีขยายพันธุ์ ผลิต ต้นกล้าชาพันธุ์ดีและปรับปรุงกระบวนการผลิตชาให้กับศูนย์พัฒนา โครงการหลวงต่างๆ ซึ่งอีก 3 ปีต่อมา ได้มีการอนุมัติจัดตั้งสถานีวิจัยชาขึ้น ที่บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวยจ.เชียงราย ปัจจุบันทางสถานีได้ทำการผลิตชาจีนพันธุ์ห้วยน้ำขุ่น เบอร์ 3 (HK.NO3) ที่คัดเลือกจากแม่พันธุ์ชาจีนลูกผสม ของไต้หวัน เพื่อทำการแจกจ่าย ให้กับเกษตรกรในโครงการ และหน่วยงานทีสนใจ
ในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตรได้ทำ การส่งเสริมเกษตรกรปลูกชามาตั้งแต่ 2533 โดยจัดทำแปลงขยายพันธุ์ชาพันธุ์ดีที่ศูนย์ส่งเสริมการผลิต พันธุ์พืชสวน เชียงราย จัดทำแปลงส่งเสริมการปลูกชาพันธุ์ดีเป็นสวนแก่เกษตรกร และส่งเสริมการปรับปรุงสวนชาวเขา โดยส่งเสริมให้เกษตรกร ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย ดูแลรักษา และ ปลูกชาเสริมในสวนแปลงชาเก่า พร้อมทั้งฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการปลูกและผลิตชา แก่เกษตรกรผู้สนใจ จัดตั้งกลุ่มผ๔้ปลูกชา และประสานงานการตลาดระหว่าง เกษตรกรและพ่อค้าผู้รับซื้อด้วย
วิธีการชงชา
กง ฟู ฉา แปลว่า ชงชาด้วยฝีมือ(ที่มีความชำนาญ) เริ่มต้นที่เมื่อน้ำเดือดแล้ว ลวกปั้นชาที่เตรียมไว้ รวมทั้งถ้วยชา การลวกนี้ถือเป็นการเตรียมปั้นชา (เพื่อเวลา ที่ใช้ชงชาจริงๆ อุณหภูมิของน้ำจะไม่ลดลงมากเท่ากับการเทลงในภาชนะที่เย็นๆ) ตักใบชาลงในปั้นที่อุ่นไว้ใช้น้ำเดือดเทตามลงไปจนน้ำล้นออกมาจากปั้นชา ปิดฝาปั้น เทน้ำลงบนฝาด้วยเพื่อป้องกันกลิ่นหอมไม่ให้หนีออกจากปั้น แล้วเทน้ำที่ได้จากการชงครั้งแรกลงในถ้วยชาทุกใบแล้วเททิ้ง ขั้นตอนนี้คือการ "ปลุก" ใบ ชาให้ตื่นจากหลับ และล้างใบชาด้วย จากนั้นรินน้ำเดือดลงไปในปั้นอีกครั้ง ปิดฝาปั้น เทน้ำลงลนฝา แล้วจีงรินชาใส่ถ้วยทุกใบด้วยวิธีการรินวน คือรินถ้วยที่หนึ่ง ถึงสี่โดยไม่ต้องรอถ้วยแรกเต็ม รินวนไปมาจนเต็มทั้งสี่ถ้วย อย่างนี้แล้วชาถ้วยที่หนึ่งถึงสี่จะมีรสชาติเสมอกัน
1.ใส่ใบชาประมาณ 1/6 - 1/4 ของปริมาตรกา
2. รินน้ำเดือดลงในกาชาครึ่งหนึ่ง แล้วเททิ้งทันที (ไม่ควรเกิน 5 วินาที) เพื่อล้างและอุ่นใบชา ให้ตื่นตัว
3. รินน้ำเดือดลงในกาชาจนเต็ม ปิดฝากา ทิ้งไว้ประมาณ 45 -60 วินาที
4.รินน้ำชาลงในแก้วดื่ม (ในการรินแต่ละครั้ง ต้องรินให้หมดกา มิฉะนั้นจะทำให้ใบชาที่เหลือ มีรสขม และฝาด ทำให้เสียรสชาติได้ ใบชาในการชง 1 กา สามรถ ชงได้ 4 - 6 ครั้ง หรือ จนกว่ากลิ่นหอมจะจางหายไป และในการชงแต่ละครั้ง ให้เพิ่มเวลาในการชง 10 - 15 วินาที
ประโยชน์และคุนค่าของชา
1. มีธาตุอาหารหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น วิตามินซี โปรตีน น้ำตาล บำรุงร่างกาย ทำให้มี สุขภาพดี
2. มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบ
- ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียน ของโลหิต
- ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจตีบตัน ช่วยรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยรักษาโรคหวัด
- ช่วยรักษาโรคปวดหัว มีสิทธิพลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของเซลล์ร่างกาย
3. มีสารโพลีฟีนอลช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
4. มีสารไดเมธิลแซนธีน ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น
5. ช่วยแก้กระหาย ดื่มแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ และช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน และลดไขมัน
6. ช่วยลดอาการอักเสบ สมานแผล
7. ช่วยชะล้างสารพิษออกจากร่างกาย
8. ใช้เป็นส่วนประกอบของยา
9. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
10. ชาผงใช้ในการแต่งกลิ่นในอาหาร
11. ใช้ระงับกลิ่น เช่น กากใบชาที่เหลือจากการชงชาแล้ว ผึ่งไว้แห้งบรรจุภาชนะต่างๆ เช่น ถุงผ้า ฯลฯ สามารถดับกลิ่นในตู้เสื้อผ้า ดับกลิ่นในตู้เย็น ดับกลิ่นในตู้ไมโครเวฟ ดับกลิ่นในตู้ที่อับ ชื้น ดับ กลิ่นใน ตู้ที่อับชื้น ดับกลิ่นในรถยนต์ ดับกลิ่นในห้องน้ำ ดับกลิ่นในห้องครัว ฯลฯ
12. ขยายหลอดลม
13. ป้องกันมะเร็ง ปอด ผิดหนัง กระเพาะอาหาร ตับ ลำไส้เล็ก
14. ลดโคเสลเตอรอลในเลือด
15. ลดน้ำตาลในเลือด
16. ลดอัตราการแบ่งตัวของไวรัส
17. หมอนที่มีกากใบชาแทนนุ่นช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย
2. มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบ
- ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียน ของโลหิต
- ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคหัวใจตีบตัน ช่วยรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยรักษาโรคหวัด
- ช่วยรักษาโรคปวดหัว มีสิทธิพลต่อระบบเมตาโบลิซึ่มของเซลล์ร่างกาย
3. มีสารโพลีฟีนอลช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
4. มีสารไดเมธิลแซนธีน ช่วยระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น
5. ช่วยแก้กระหาย ดื่มแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ และช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน และลดไขมัน
6. ช่วยลดอาการอักเสบ สมานแผล
7. ช่วยชะล้างสารพิษออกจากร่างกาย
8. ใช้เป็นส่วนประกอบของยา
9. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
10. ชาผงใช้ในการแต่งกลิ่นในอาหาร
11. ใช้ระงับกลิ่น เช่น กากใบชาที่เหลือจากการชงชาแล้ว ผึ่งไว้แห้งบรรจุภาชนะต่างๆ เช่น ถุงผ้า ฯลฯ สามารถดับกลิ่นในตู้เสื้อผ้า ดับกลิ่นในตู้เย็น ดับกลิ่นในตู้ไมโครเวฟ ดับกลิ่นในตู้ที่อับ ชื้น ดับ กลิ่นใน ตู้ที่อับชื้น ดับกลิ่นในรถยนต์ ดับกลิ่นในห้องน้ำ ดับกลิ่นในห้องครัว ฯลฯ
12. ขยายหลอดลม
13. ป้องกันมะเร็ง ปอด ผิดหนัง กระเพาะอาหาร ตับ ลำไส้เล็ก
14. ลดโคเสลเตอรอลในเลือด
15. ลดน้ำตาลในเลือด
16. ลดอัตราการแบ่งตัวของไวรัส
17. หมอนที่มีกากใบชาแทนนุ่นช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย
ประโยชน์และคุนค่าของชาอู่หลง
1. ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอม ช่วยกระตุ้นให้เกิดความสดชื่นยามบ่าย ชามาสมารถช่วยกระตุ้น ระบบประสาททำให้ สมองแจ่มใส และร่างการทำงาน ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
2. ชาช่วยแก้กระหายและช่วยย่อยอาหาร ในช่วงอากาศร้อน การดื่มชาทำให้รู่สึกสดชื่นขึ้น
3. ชามีสารฟลูโอไรต์จากธรรมชาติ ช่วยให้ฟันแข็งแรงมากขึ้น ช่วยลดกลิ่นปาก และการหมักหมม ของเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
4. ชามีสรรพคุณเป็นสารต่อต้านแบคทีเรีย และการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื่อแบคทีเรีย และ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิดช่วยลดการอักเสบช่วยสมานแผล และต่อต้านโรค บิด โรคอหิวาต์ ปอดบวม ฝี และหนอง
5. ชาช่วยชำระสารพิษในร่างกาย
6. ชาช่วยในการขับปัสสาวะ และขยายหลอดลม ลดอาการหอบหืด
7. ชาช่วยระงับและรักษาอาการท้องเสียได้อย่างดี เนื่องจากชามีสารฝาด ที่ละลายออกจากใบชา แก้ท้องเสียได้
8. ชาช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง ชามีสรรคุณที่ทำปฏิกริยาลดไขมันและน้ำมัน
9. สาร Glycosides ในใบชา ช่วยป้องกันการเพิ่มระดับของน้ำตาลในเลือด นั่นคือ ชาสามรถ ป้องกันโรคเบาหวานได้นั่นเอง
10. ชามีสารที่มีฤทธิ์จำกัดปฎิกริยาของเชื้อไวรัส รวมไปถึงไข้หวัดใหญ่ เชื้องูสวัด โปลิโอ หรือ แม้แต่ปฏิกริยาบางส่วนของเชื้อ HIV โดยการแทรก แซงและป้องกันไม่ให้เชื่อ HIV เข้าไปเกาะ ติดกับเซลล์เนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี
11. ชาช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันกระตุ้นการทำงานของร่างกายในการต่อต้านเชื้อ แบคทีเรียแปลกปลอม
12.ชาช่วยชะลอความแก่ ดยการกำจัดสภาวะเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระให้แก่เซลล์เนื้อเยื่อ
13. เป็นยาบำรุงโดยไม่มีผลรบกวนการทำงานของระบบประสาท หรือทำให้นอนไม่หลับ
14. ช่วยรักษาสมดุลของของเหลวภายในร่างกาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น